วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Cristiano Ronaldo



กริชเตียนู รูนัลดู ดุช ซังตุช อาไวรู (โปรตุเกส: Cristiano Ronaldo dos Santos Aveiro; เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1985) หรือที่รู้จักกันในชื่อ คริสเตียโน โรนัลโด เป็นนักฟุตบอล ชาวโปรตุเกส ปัจจุบันสังกัดอยู่กับสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดในลาลีกา เล่นในตำแหน่งกองหน้าและเป็นกัปตันทีม ของ ฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกสคนปัจจุบัน โรนัลโดเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ฟุตบอลรองจากแกเร็ธ เบลหลังย้ายจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มาอยู่กับเรอัลมาดริด ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ โรนัลโดได้รับค่าจ้างในการลงเล่นให้กับเรอัลมาดริดจำนวน 12 ล้านปอนด์ต่อปี ทำให้เขาเป็นนักเตะที่มีค่าเหนื่อยมากที่สุดในโลก
โรนัลโดได้ลงเล่นฟุตบอลในนามทีมเยาวชนของอังดูริญญา เมื่อเขาเล่นได้อยู่สองปี ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับนาซีอูนัลในปี 1997 เขาได้ทำสัญญาให้กับสโมสรยักษ์ใหญ่อย่างสปอร์ติงลิสบอน โรนัลโดได้ถูกพิจารณาย้ายตัวไปอยู่กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด โดยคนที่ซื้อเขาคือ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซื้อตัวเขามาด้วยจำนวนเงิน 12.24 ล้านปอนด์ โรนัลโดได้แชมป์เอฟเอคัพ ซึ่งเป็นเกียรติประวัติแชมป์แรกของเขาในปี 2003
โรนัลโดลงเล่นในเกมของฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกส ในระดับชาตินัดแรกคือตอนเจอกับคาซัคสถาน ในเดือนสิงหาคม 2003 และหลังจากนั้นเขาได้ลงเล่นมากขึ้นรวมทั้งหมดถึงห้าทัวร์นาเมนต์ ได้แก่ ยูโร 2004, ฟุตบอลโลก 2006, ยูโร 2008, ฟุตบอลโลก 2010 และยูโร 2012 เขาทำประตูแรกในนามทีมชาติโปรตุเกสได้ในการแข่งขันยูโร 2004 ในนัดเปิดการแข่งขันที่เจอกับกรีซ เขาเป็นคนสำคัญในการนำทีมชาติโปรตุเกสเข้าไปชิงชนะเลิศในปี 2004 และหลังจากนั้นโรนัลโดได้มีบทบาทและได้ลงตำแหน่งตัวจริงมากขึ้น ในปี 2008 โรนัลโดได้เป็นกัปตันทีมครั้งแรกของทีมชาติโปรตุเกสได้นำทีมเข้าแข่งขันยูโร 2008 สามารถเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศได้ เขาสามารถยิงได้สามประตูในการแข่งขันทัวร์นาเมนต์นี้ ในวันที่ 16 ตุลาคม 2012 โรนัลโดได้ลงเล่นครบ 100 นัดสำหรับทีมชาติโปรตุเกสในนัดที่เจอกับไอร์แลนด์เหนือ ทำให้เขาเป็นหนึ่งในสามนักเตะที่ลงเล่นให้กับทีมชาติโปรตุเกสเกิน 100 นัด ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 เฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของเขาได้มีคนติดตามถึง 50 ล้านคน
ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 มีการจัดอันดับตำแหน่งนักเตะรูปงามแห่งยูโร 2008 จัดทำโดยแอลจี บริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า คริสเตียโน โรนัลโดได้รับคะแนนโหวตครั้งนี้เป็นอันดับ 1ในปี 2012 โรนัลโดได้รับรางวัลนักกีฬาไอบีเรีย-อเมริกา ประจำปี 2012 ประเภทนักฟุตบอลชาย

Lionel Messi


เลียวเนล อันเดรส "เลโอ" เมสซี (สเปน: Lionel Andrés "Leo" Messi ออกเสียง: [ljoˈnel anˈdɾes ˈmesi]) เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1987 เป็นนักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา ปัจจุบันเล่นอยู่ในสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาและฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา ในตำแหน่งกองหน้าหรือปีก เขายังถือสัญชาติสเปนอีกด้วย ซึ่งทำให้เขาถือว่าเป็นนักฟุตบอลยุโรป เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในรุ่นของเขาและมักถูกกล่าวถึงว่าเป็นผู้เล่นร่วมสมัยที่ดีที่สุดในโลก
เมสซีได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปและรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีเมื่อเขาอายุ 21 ปี และได้รับรางวัลในปี ค.ศ. 2009 (นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปและรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี ค.ศ. 2009) และได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี ค.ศ. 2010 ,2011 และ 2012 สไตล์การเล่นของเขาและความสามารถ มักถูกเปรียบเทียบเสมอเดียโก มาราโดนา ซึ่งพูดถึงเมสซีว่าเป็นผู้สืบทอดจากเขา

  

เมสซีเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุยังน้อยและบาร์เซโลนาก็ค้นพบแนวโน้มที่ดีของเขาอย่างรวดเร็ว เขาออกจากทีมเยาวชนสโมสรกีฬานิวเวลส์โอลด์บอยส์เมืองโรซารีโอ เมื่อปี ค.ศ. 2000 และย้ายพร้อมครอบครัวไปอยู่ยุโรป โดยบาร์เซโลนาเสนอในการรักษาภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโตให้กับเมสซี เขาเปิดตัวครั้งแรกในฤดูกาล 2004–05 โดยทำลายสถิติทีม โดยเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในลีก เกียรติประวัติในฤดูกาลแรกของเขาคือชนะการแข่งขันในลาลีกา และชนะครั้งที่ 2 ในลีก รวมถึงในแชมเปียนส์ลีก ในปี ค.ศ. 2006 ฤดูกาลแจ้งเกิดของเขาคือฤดูกาล 2006–07 เขาเป็นผู้เล่นในทีมชุดใหญ่เต็มตัว โดยทำแฮตทริกในเอลกลาซีโก จบฤดูกาลยิงประตู 14 ประตู ใน 26 เกมในลีก จากนั้นเมสซีก็ประสบความสำเร็จที่สุดในอาชีพของเขาในฤดูกาล 2008–09 ยิงประตู 38 ประตู เป็นส่วนสำคัญของทีมในการชนะ 3 รายการในฤดูกาลเดียว แต่แล้วสถิตินี้ก็ถูกบดบังไปในฤดูกาลถัดมา ฤดูกาล 2009–10 ที่เมสซียิงประตูไป 47 ประตูในทุกการแข่งขัน เทียบเท่าสถิติของโรนัลโดที่เคยทำให้กับบาร์เซโลนา แต่เขาก็ทำลายสถิตินี้ในฤดูกาล 2010–11 กับประตู 53 ประตูในทุกการแข่งขัน
เมสซีเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ชนะเลิศในลาลีกา 5 ครั้ง แชมเปียนส์ลีก 3 ครั้ง ยิงประตูได้ 2 ประตูในนัดตัดสิน ในนัดแข่งกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทั้งในปี ค.ศ. 2009 และ 2011 เขาไม่ได้ลงสนามในนัดที่บาร์เซโลนาชนะอาร์เซนอลในปี ค.ศ. 2006 แต่ก็ได้รับเหรียญทองในฐานะผู้ชนะในการแข่งขัน หลังจากยิง 12 ประตูในแชมเปียนส์ลีกฤดูกาล 2010–11 ทำให้เมสซีเป็นนักฟุตบอลที่ยิงประตูได้สูงสุดอันดับ 3 รองจากเกิร์ด มึลเลอร์และฌ็อง-ปีแยร์ ปาแป็งอย่างไรก็ตามเมสซีเป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลผู้ทำประตูสูงสุดในแชมเปียนส์ลีก 3 ปีติดต่อกัน หลังจากที่แชมเปียนส์ลีกเปลี่ยนระบบการแข่งขันในปี ค.ศ. 1992
เมสซีเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในการแข่งขันยูทแชมเปียนชิป 2005 กับ 6 ประตู รวมถึง 2 ประตูในนัดตัดสิน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เป็นส่วนหนึ่งในทีมชุดใหญ่ฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา และในปี ค.ศ. 2006 เขาเป็นนักฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินาที่อายุน้อยที่สุดที่เล่นในฟุตบอลโลก และได้ตำแหน่งรองชนะเลิศไปในโคปาอเมริกาในปี ถัดมา และในปี ค.ศ. 2008 ที่ปักกิ่งเขาได้รับเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ในนามของฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา

Gareth Bale

แกเร็ธ แฟรงก์ เบล (อังกฤษ: Gareth Frank Bale) เกิดเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1989 ที่คาร์ดิฟฟ์ ในประเทศเวลส์, ประเทศสหราชอาณาจักร เป็นนักฟุตบอล ซึ่งเล่นตำแหน่งแบ็คซ้าย หรือปีกซ้าย ให้กับสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด สวมเสื้อหมายเลข 11 และ ฟุตบอลทีมชาติเวลส์ เคยอยู่สโมสรฟุตบอลทอตแนมฮ็อตสเปอร์ และยังเป็นนักฟุตบอลที่ได้รางวัลผู้เล่นแห่งปีจากสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ ปัจจุบันได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด ด้วยราคา 85 ล้านปอนด์ เป็นสถิติโลกใหม่ของการซื้อขายนักฟุตบอล
เบล เกิดที่คาร์ดิฟฟ์ เมืองหลวงของเวลส์ เป็นลูกชายแฟรงค์ เบล และเป็นหลานชายของ คริส เพคส์ อดีตผู้เล่นของคาร์ดิฟฟ์ซิตี อีกด้วย โดยสมัยที่เจ้าตัวอายุได้ 9 ขวบ เจ้าตัวก็ได้รับความสนใจจากแมวมองของเซาท์แธมป์ตัน จากนั้น เบล ก็เข้าเรียนที่โรงเรียนวิทเชิร์ช ไฮสคูล ในคาร์ดิฟฟ์ที่ซึ่งลงเล่นรักบี้, ฮ็อคกี้ และวิ่งระยะไกล ไปพร้อมกับการเล่นฟุตบอล โดยระหว่างที่เรียนที่วิทเชิร์ช เบลก็ได้ฝึกฝีเท้ากับสถาบันฟุตบอลของทีมเซาแทมป์ตันที่เมืองบาธ ไปด้วยพร้อม ๆ กัน กล่าวกันว่าเมื่อกลับจากโรงเรียนเบลไม่เคยอ้อนวอนพ่อให้เปิดดูการ์ตูนหรือโทรทัศน์ มีแต่อ้อนวอนให้ออกไปเล่นฟุตบอล
เมื่ออายุได้ 16 ปี เบล ก็เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้ทีมชุดอายุต่ำกว่า 18 ปีของโรงเรียนคว้าแชมป์ "คาร์ดิฟฟ์ แอนด์ เวล ซีเนียร์ คัพ" ไปครอง และเมื่อเรียนจบในช่วงซัมเมอร์ 2005 แผนกพลศึกษาของโรงเรียนก็ได้มอบรางวัลยอดเยี่ยมด้านกีฬาให้กับดาวรุ่งรายนี้ด้วย
เบล พัฒนาฝีเท้าได้อย่างรวดเร็วและเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะจอมยิงฟรีคิกของทีม ขณะที่เกมสุดท้ายของเบล กับเซาแทมป์ตัน เป็นเกมเพลย์ออฟแชมเปี้ยนชิพ รอบรองชนะเลิศ กับดาร์บี้ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2007 แต่เจ้าตัวกลับโชคร้ายได้รับบาดเจ็บในช่วงครึ่งหลังจนไม่สามารถฝืนเล่นต่อไปได้ โดยปีก/แบ็คซ้าย รวมทั้งหมดเบลเล่นให้กับเซาแทมป์ตันไป 45 นัด และทำไป 5 ประตู

จากนั้น เบล ก็ได้ย้ายไปค้าแข้งกับ สเปอร์ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2007 และเซ็นสัญญาเป็นเวลา 4 ปี โดยสเปอร์จ่ายค่าตัวไป 5 ล้านปอนด์ (ราว 300 ล้านบาทในเวลานั้น) พร้อมกับอ็อปชั่นที่ว่าจะต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมหากว่า เบล สามารถช่วยให้สเปอร์ส ประสบความสำเร็จได้ ซึ่งคาดว่ารวม ๆ แล้วอาจจะสูงถึง 10 ล้านปอนด์ เบล ประเดิมสนามนัดแรกให้สเปอร์ส ในเกมอุ่นเครื่องกับเซนต์ แพตทริคส์ แอตแลติก เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2007 ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนตัวในช่วงท้ายเกมเนื่องจากบาดเจ็บ
จากนั้น เบล ก็สามารถพังประตูแรกให้สเปอร์ในแมตช์อย่างเป็นทางการได้สำเร็จในเกมที่เสมอกับฟูแล่ม 3-3 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2007 ก่อนที่จะตามมาด้วยการทำสกอร์จากฟรีคิกในเกมดาร์บี้แมตช์แห่งลอนดอนเหนือกับอาร์เซน่อล และตามด้วยการทำประตูในเกมลีก คัพ ที่พบกับมิดเดิลสโบรช์ ซึ่งทำให้เบล ซึ่งเป็นดาวรุ่งวัย 18 ปีในเวลานั้น กลายเป็นขวัญใจแฟนบอลสเปอร์ส อย่างรวดเร็ว หลังทำไป 3 ประตูจากการลงสนาม 4 นัดแรก
ในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2007 เบล ก็ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าขวาอย่างรุนแรง จนต้องพักนานหลายเดือน อย่างไรก็ตามในเดือนสิงหาคม 2008 เจ้าตัวก็ได้เซ็นสัญญากับสเปอร์ส เพิ่มอีก 4 ปีแม้ส่วนตัวแล้วจะทำผลงานได้ดี แต่ไม่น่าเชื่อว่า เบล จะมีสถิติลงเล่นเกมพรีเมียร์ลีก 24 นัดให้สเปอร์ส โดยที่ทีมไม่ชนะเลย จนโดนตราหน้าว่าเป็น "ตัวซวย" ที่เมื่อลงสนามเมื่อไหร่ ทีมจะไม่ชนะ ซึ่งกว่าที่เบลจะได้สัมผัสชัยชนะในลีกเป็นนัดแรกก็ต้องรอจนถึงเกมที่พบกับเบิร์นลีย์ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2009 ซึ่งกินเวลามากกว่า 2 ปี หลังจากที่เซ็นสัญญาในถิ่นไวท์ ฮาร์ท เลน โดยเกมดังกล่าวเบลถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 85
ฤดูกาล 2010-11 เบล เริ่มต้นได้อย่างสวยหรูเมื่อเหมาคนเดียว 2 ประตูให้ทีมชนะสโตกซิตี 2-1 เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2010 และถัดมาอีก 4 วัน เบลก็ทำแอสซิสต์ทั้ง 4 ลูกให้ สเปอร์ส ถล่ม ยัง บอยส์ เบิร์น จากสวิตเซอร์แลนด์ 4-0 ในศึกแชมเปียนส์ลีก รอบเพลย์ออฟ ที่ไวต์ฮาร์ตเลน ฤดูกาล 2012-13 เบล เปลี่ยนมาใส่เสื้อหมายเลข 7 ซึ่งเป็นเบอร์ไรอัน กิกส์ ขวัญใจของเบลในทีมชาติเวลส์
ปัจจุบันได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด ด้วยราคา 85.3 ล้านปอนด์ ทำลายสถิติโลกของคริสเตียโน โรนัลโด นักเตะปัจจุบันของรีล มาดริดเช่นกัน โดยทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2013

Arjen Robben


อาร์เยิน โรบเบิน (ดัตช์: Arjen Robben) เกิดเมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1984 เป็นนักฟุตบอลชาวดัตช์ เล่นให้กับสโมสรฟุตบอลเยอรมันในบุนเดสลีกา สโมสรฟุตบอลบาเยิร์นมิวนิก ตำแหน่งกองหน้า แต่โดยมากเขาเล่นในตำแหน่งปีก เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เล่นที่มีทักษะการเลี้ยงบอล ความเร็ว ความสามารถในการส่งข้ามลูกบอลและความแม่นยำในการยิงระยะไกล เขาเป็นส่วนหนึ่งในทีมฟุตบอลทีมชาติเนเธอร์แลนด์ และลงแข่งในยูโร 2004, ฟุตบอลโลก 2006, ยูโร 2008 และฟุตบอลโลก 2010
โรบเบินลงเล่นกับสโมสรฟุตบอลโครนิงเงิน (FC Groningen) เขาเล่นในฤดูกาล 2000–01 ต่อจากนั้นเซ็นสัญญากับเปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน (PSV Eindhoven) ที่นี่เขาได้รับรางวัลผู้เล่นดาวรุ่งแห่งปีของเนเธอร์แลนด์ และยังได้แชมป์ลีกเอเรอดีวีซี ในฤดูกาลต่อมาสโมสรอังกฤษ มีความสนใจที่จะเซ็นสัญญากับเขา และหลังจากการเจรจาอันยืดเยื้อ เขาร่วมกับสโมสรฟุตบอลเชลซีหลังปิดฤดูกาล 2004


โรบเบินเปิดตัวเล่นกับเชลซีได้ช้าเนื่องจากเขาบาดเจ็บ เมื่อสมบูรณ์เขาช่วยให้เชลซีชนะเลิศในพรีเมียร์ลีกได้ 2 ฤดูกาลติดต่อกัน และยังติดอยู่ในชื่อผู้เล่นพรีเมียร์ลีกแห่งเดือน ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2005หลังจากฤดูกาลที่ 3 ในอังกฤษ ซึ่งเขามีอาการบาดเจ็บ โรบเบินย้ายมาอยู่กับสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดในลาลีกา ด้วยค่าตัว 35 ล้านยูโร ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2009 โรบเบินย้ายมาอยู่กับสโมสรฟุตบอลบาเยิร์นมิวนิก ด้วยค่าตัวราว 25 ล้านยูโร เขายิง 2 ประตูในนัดเปิดตัว ในฤดูการแรกของเขาที่มิวนิก สโมสรชนะในลีก ถือเป็นชัยชนะในลีกเป็นครั้งที่ 5 ของเขาใน 8 ปี และทีมเข้าสู่รอบตัดสินยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และเป็นผู้ยิงในช่วงท้ายเวลาของรองชิงชนะเลิศทำให้มิวนิกชนะโบรุสเซียดอร์ทมุนด์ ไป 2-1 ประตู ทำให้ทีมได้แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นสมัยที่ 5 และโรบเบินได้รับเลือกเป็นแมนออฟเดอะแมตช์ด้วย

Wayne Rooney


เวย์น มาร์ก รูนีย์ (อังกฤษWayne Mark Rooney; เกิด 24 ตุลาคม ค.ศ. 1985 ที่เมืองลิเวอร์พูล) เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษ ปัจจุบันเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในพรีเมียร์ลีก และฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ ตำแหน่งกองหน้า และยังเป็นกัปตันทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอีกด้วย
เวย์น รูนีย์เริ่มเล่นฟุตบอลให้กับเอฟเวอร์ตันตั้งแต่ปี 2001 ในทีมเยาวชนและและได้ลงเล่นให้กับทีมอาชีพ โดยใส่เสื้อหมายเลข 18 นัดที่แจ้งเกิดของเขาคือนัดที่ยิงประตูช่วยให้เอฟเวอร์ตันต้นสังกัดของเขาเอาชนะอาร์เซนอลประมาณปี 2003 หลังจากนั้นรูนีย์ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงสม่ำเสมอ จากเดิมที่เป็นนักเตะฝึกหัดของสโมสร ได้รับค่าจ้างเพียง 10 ปอนด์ต่อสัปดาห์ก็ได้รับค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็น 1 บาทต่อสัปดาห์ ฟอร์มการเล่นของเขาได้พัฒนาขึ้นทำให้มีหลาย ๆ สโมสรต้องการเขาไปร่วมทีม จนกระทั่งปี 2004เวย์น รูนี่ย์ กลายเป็นนักเตะวัยรุ่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก หลังจากที่เซ็นสัญญาย้ายจาก เอฟเวอร์ตัน มาอยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวเกือบ 30 ล้านปอนด์ โดยต้นสังกัดใหม่จ่ายค่าตัวสูงถึงด้วยค่าตัว 0.25ปอนด์ หรือ ประมาณ 1บาท รูนีย์ประเดิมสนามด้วยเสื้อหมายเลข 8 และได้รับค่าเหนื่อยสูงถึง 75,000,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ยังเล่นให้กับ ทีมชาติอังกฤษ โดยปัจจุบันสวมเสื้อหมายเลข 10
ในการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 2006 เป็นปีที่ไม่ค่อยดีของเวย์น รูนีย์เท่าใดนัก เพราะในรอบแรกรูนีย์ไม่สามารถลงเล่นได้เนื่องจากมีปัญหาเนื่องมาจากอาการบาดเจ็บ และในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ทีมชาติอังกฤษได้พบกับทีมชาติโปรตุเกส รูนีย์โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม และทีมชาติอังกฤษตกรอบจากการดวลจุดโทษ แฟนบอลและสื่อทีมชาติอังกฤษต่างเพ่งเล็งมาที่คริสเตียโน โรนัลโด เพื่อนร่วมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดของเวย์น รูนีย์ซึ่งถูกครหาว่าเป็นตัวการที่ทำให้รูนีย์โดนใบแดง ทำให้สื่อมวลชนกุข่าวว่าเวย์น รูนีย์ ตั้งตนเป็นศัตรูกับโรนัลโดซึ่งอาจส่งผลให้โรนัลโดย้ายทีม แต่อย่างไรก็ดี รูนีย์ได้สยบข่าวลือนั้น ในฤดูกาล 2006 โรนัลโดได้เล่นให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดต่อไป เขากับโรนัลโดเล่นได้เข้าขากันและยังเป็นกำลังหลักของยูไนเต็ดเหมือนเดิม และทั้งสองได้ร่วมกันคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในปี 2007 และแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 ครั้งติดต่อกันในปี 2007 - 2009 ก่อนที่โรนัลโดจะย้ายออกจากทีมไป ซึ่งในช่วงปี 2007 เวย์น รูนีย์ยังได้เปลี่ยนเสื้อเป็นหมายเลข 10 โดยมีดาวยิงผู้เป็นตำนานสโมสร เดนิส ลอว์ เป็นผู้มอบเสื้อหมายเลข 10 ให้กับรูนีย์อีกด้วย โดยเฟอร์กี้ได้ให้สัมภาษณ์ในงานแถลงข่าวเปิดตัวนักเตะว่า "ผมตื่นเต้นมาก ผมคิดว่าเราได้ตัวนักเตะหนุ่มที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประเทศนี้ในรอบ 30 ปี เลยทีเดียว เราทุกฝ่ายพอใจกับการเซ็นสัญญาครั้งนี้" ในขณะที่ตัวนักเตะเองก็เปิดเผยว่าเขาต้องการเล่นให้กับทีมที่ได้เล่นใน แชมเปี้ยนส์ ลีก และด้วยเหตุผลนี้เองเขาจึงตัดสินใจมาร่วมทีมทีมยิ่งใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด


อันที่จริงแล้ว รูนี่ย์ มีแนวโน้มว่าจะอยู่ที่ เมอร์ซี่ย์ไซด์ ต่อ และหากไม่มีการต่อรองจาก นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ทีมปีศาจแดง ก็อาจจะไม่ได้ตัวนักเตะผู้นี้ก็ได้ โดยในขณะนั้นสื่อต่างๆ ก็ประโคมข่าวเกี่ยวกับการติดต่อซื้อตัวนักเตะ และนั่นก็สร้างความกดดันให้กับ เอฟเวอร์ตัน อย่างมาก แต่แม้ว่าพวกเขาจะพยายามรั้งตัวนักเตะไว้ด้วยการเสนอสัญญา 5 ปี กับทีมพร้อมค่าเหนื่อยที่สูงสุดในสถิติของสโมสรคือ 50,000 ปอนด์ ต่อสัปดาห์ แต่นักเตะก็ยังไม่ยอมต่อสัญญา
การติดต่อของนิวคาสเซิ่ล ทำให้สโมสรอื่นๆ ต่างก็ตื่นตัวที่จะแย่งชิงนักเตะผู้นี้ด้วยทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี และ เรียล มาดริด และไม่กี่วันก่อนตลาดซื้อขายจะปิด เดอะ แม็คพายส์ ก็เริ่มเปิดการเจรจาต่อรองในตัวนักเตะ และมีการเซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพียง 4 ชั่วโมงก่อนปิดตลาดเท่านั้น การย้ายทีมของเขาหลังจากที่เล่นให้กับทีมเพียง 2 ฤดูกาลทำให้แฟนๆ ของพวกเขาโกรธอยู่ไม่น้อย แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อการเจรจาครั้งนี้ใช้เงินพูด และสโมสรของเขาเองก็มีหนี้สินมากมาย และก็ไม่มีทางเลือกมากนัก ทำให้ต้องยอมรับข้อเสนอจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
รูนี่ย์ ย้ายเข้าสู่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ด้วยค่าตัวเริ่มต้นที่ 20 ล้านปอนด์ ที่สโมสรจะจ่ายให้ เอฟเวอร์ตัน ทันทีและจะเพิ่มอีก 7 ล้านปอนด์ หากเจ้าหนูรูนี่ย์ โชว์ฟอร์มได้ดีกับสโมสร และทีมชาติ
นัดแรกที่ รูนี่ย์ ลงเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นนัดที่เขาสร้างประวัติศาสตร์อีกนัดหนึ่ง นั่นคือเขาสามารถทำแฮตทริกได้ในนัดแรกที่ลงสนามให้กับทีม และเป็นการยิงประตู เฟเนร์บาห์เช่ ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ในวันที่ 28 กันยายน และการยิงประตูนัดแรกในพรีเมียร์ ลีก ให้กับทีมปีศาจแดงนั่นก็คือ การยิงประตูอาร์เซน่อล ในวันที่ 24 ตุลาคม 2547 ช่วยให้ทีมเอาชนะไปได้ 2 - 0 ในโรงละครแห่งความฝัน และเป็นประตูฉลองวันเกิดครบอายุ 19 ปี ให้กับเขาในวันนี้ด้วย แล้วก็ทำให้ เรด อาร์มี่ ทุกคนได้รู้ว่าฮีโร่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน พรสวรรค์ของเขาก็เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ และเขาก็กลายเป็นนักฟุตบอลที่ติดทีมชาติอังกฤษ และได้ลงเล่นด้วยอายุน้อยที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2003 โดยที่เขาลงเป็นตัวสำรองในนัดที่พบกับทีมชาติออสเตรเลียที่ อัพตัน พาร์ค อีกทั้งเขายังเป็นนักเตะที่มีอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูให้ทีมชาติได้ด้วยอายุเพียง 17 ปี ในเดือนกันยายน ปี 2003 ในเกมที่พบกับ มาซิโดเนีย
ชื่อเสียงของเขาเป็นที่เลื่องลือในระดับโลกในฐานะที่เป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่มีพรสวรรค์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโชว์ฟอร์มของเขาในฟุตบอลยูโร 2004 ที่โปรตุเกส ในทัวร์นาเมนต์นี้ เขาทำได้ 3 ประตูในการลงเล่น 4 นัด โดยเขาทำประตูได้ในนัดที่พบกับ สวิตเซอร์แลนด์ และ โครเอเชีย และนั่นก็ทำให้เขาเป็นที่สนใจของผู้จัดการทีมหลายต่อหลายทีม รวมทั้ง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เฝ้ามองฟอร์มของนักเตะผู้นี้มาตั้งแต่เขาอายุได้เพียง 14 ปี และหลังจากเจรจาต่อรองกันเป็นเวลานาน เอฟเวอร์ตัน ก็ตกลงขายนักเตะผู้นี้ให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เวย์น รูนีย์ประสบความสำเร็จกับสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอย่างต่อเนื่อง และมีหลายสโมสรต้องการซื้อเขาไปร่วมทีม อาทิ เรอัลมาดริด โดยในปี 2010 รูนีย์ไม่ต่อสัญญากับสโมสรและมีแนวโน้มรวมไปถึงมีข่าวว่าว่าจะย้ายทีม แต่เรื่องนี้ได้จบลงเมื่อรูนีย์ได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่โดยไม่เปิดเผยค่าเหนื่อยที่ได้รับ ซึ่งประมาณการณ์ว่าน่าจะสูงถึง 250,000 บาทต่อสัปดาห์เลยทีเดียว และปัจจุบันรูนีย์เป็นดาวยิงตลอดกาลของสโมสรอันดับ 300 โดยยิงประตูได้น้อยที่สุดนำแค่เด เกอา เท่านั้น ปัจจุบันไม่ประสบความสำเร็จกับทีมจนมีข่าวย้ายทีมไปร่วมทีมอื่น แต่ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2014 ได้ตกลงต่อสัญญากับทีมออกไปอีก 4 ปี จนถึงปี 2019 รับค่าเหนื่อย0.25 เพนนีต่อสัปดาห์ และได้รับการคาดหมายว่าจะได้รับหน้าที่เด็กเก็บบอลทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคนต่อไปในฤดูกาล 2014-2015 ต่อจากเนมันยา วิดิช ที่ประกาศว่าจะไม่ต่อสัญญากับทีมทีจะหมดหมดอนาคตหลังจบฤดูกาล 2013-2014
ในฤดูกาล 2014-2015 หลังจากเนมันยา วิดิช ได้ย้ายไปอินเตอร์มิลาน รูนีย์ได้รับแต่งตั้งจากหลุย ฟัน คาล ผู้จัดการทีมให้เป็นกัปตันทีมคนใหม่

Fernando Torres

เฟร์นันโด โคเซ ตอร์เรส ซานซ์ (สเปน: Fernando José Torres Sanz) (เกิดวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1984) เป็นนักฟุตบอลชาวสเปนเล่นให้กับเชลซี(แต่ปัจจุบันได้ถูกยืมตัวไปที่เอซีมิลาน ในอิตาลี)
ตอร์เรสเกิดที่เมืองฟูเอนลาบราดา (Fuenlabrada) เมืองชนบทขนาดย่อมทางใต้ของกรุงมาดริด เดิมตอร์เรสเป็นเด็กฝึกหัดของอัตเลตีโกมาดริดในประเทศสเปน และก้าวขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ รวมถึงการที่ได้รับเลือกให้เป็นกัปตันของทีม โดยในขณะนั้นตอร์เรสมีอายุเพียง 19 ปี ตอร์เรสได้รับฉายาจากสื่อในสเปนว่า "เอลนีโญ" (เด็ก) เพราะหน้าตาของตอร์เรสดูอ่อนวัยกว่าอายุเป็นอย่างยิ่ง
ตอร์เรสเป็นศูนย์หน้าที่มีพรสวรรค์ในการเล่นเป็นอย่างมาก เขาสามารถยิงประตู 75 ประตูใน 5 ฤดูกาล ในลีกสูงสุดของสเปน โดยมีเพียง ซามูเอล เอโตและ ดาบิด บียา ที่ยิงได้มากกว่าในระยะเวลาเดียวกัน
ค่าตัวในการเซ็นสัญญาของ เฟร์นันโด ตอร์เรส ได้รับการบันทึกไว้เป็นสถิติสูงสุดของลิเวอร์พูล แม้ว่าสื่ออังกฤษรายงานว่า ค่าตัวนักเตะอยู่ที่ประมาณ 26.5 ล้านปอนด์ ราฟาเอล เบนีเตซ ยืนยันในการสัมภาษณ์กับสื่อสเปนว่า ค่าตัวอยู่ที่เกือบ 20 ล้านปอนด์ ยังมีรายงานอีกว่า ตอร์เรสยอมลดค่าเหนื่อยสำหรับการย้ายตัว หนังสือพิมพ์ The Times รายงานว่า ค่าตัวลดจาก 103,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ในสเปน เหลือ 91,000 ปอนด์
ในวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ตอร์เรสลงแข่งนัดเปิดตัวให้ลิเวอร์พูล โดยแข่งกับแอสตันวิลลา และชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 หลังจากนั้นตอร์เรสยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ในการลงแข่งครั้งแรกในสนามแอนฟีลด์ ในวันที่ 19 สิงหาคม ในนาทีที่ 16 ผลเสมอ 1-1 กับเชลซี โดยวิ่งไปรับบอลจากการส่งของ สตีเฟน เจอร์ราร์ด ตอร์เรสเลี้ยงผ่านกองหลังเชลซี ทาล เบน ฮาอิม และยิงผ่านมือผู้รักษาประตู ปีเตอร์ เช็ค เข้าไปตุงตาข่ายเชลซี

ตอร์เรสยิงแฮตทริกเป็นครั้งแรกให้สโมสรในวันที่ 25 กันยายน ในนัดเยือน ถ้วยคาร์ลิงคัพกับเรดดิง และชนะไป 4-2 โดยประตูแรกของตอร์เรสในเกมคือประตูที่ยิงให้ลิเวอร์พูลนำ 2-1 ลูกที่สองของเขาทำให้ลิเวอร์พูลนำ 3-2 และตามด้วยลูกปิดท้าย 4-2 หลังจากจบการแข่งขัน ตอร์เรสได้รับการคิดเลือกเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน และเนื่องจากตอร์เรสสามารถทำแฮตทริกได้สำเร็จ เขาจึงได้รับลูกบอลที่ใช้ในการแข่งขันเป็นของที่ระลึก
ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ตอร์เรสสามารถทำแฮตทริกแรกในลีกได้สำเร็จในเกมที่ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเอาชนะทีมมิดเดิลสโบร 3-2 และในวันที่ 5 มีนาคม ปีเดียวกัน ตอร์เรสสามารถทำแฮตทริกได้อีกครั้งในเกมที่ลิเวอร์พูลเอาชนะทีมเวสต์แฮมยูไนเต็ด 4-0 ทำให้เฟร์นันโด ตอร์เรสได้รับการบันทึกไว้เป็นสถิติว่า เป็นผู้เล่นคนแรกต่อจากแจ็กกี บัลเมอร์ ที่เคยทำแฮตทริกในเกมที่แอนฟีลด์ติดต่อกัน 2 นัด ในปี 1946 และยังเป็นนักเตะคนที่ 5 ของสโมสรที่สามารถทำได้ ตอร์เรสได้รับการคัดเลือกให้ได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งเดือนกุมภาพันธ์ของพรีเมียร์ลีกอังกฤษ โดยนอกจากนี้เขายังเป็นนักเตะนอกสหราชอาณาจักรคนแรกที่ยิงได้ 15 ประตูในพรีเมียร์ลีกให้ลิเวอร์พูล
ในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2551 เฟร์นันโด ตอร์เรส กลายเป็นผู้เล่นคนแรกของสโมสร ต่อจาก ร็อบบี ฟาวเลอร์ ที่สามารถทำประตูในลีกได้เกินถึง 20 ประตูใน 1 ฤดูกาล เมื่อเขาทำประตูในนาทีที่ 47 ในเกมที่ลิเวอร์พูลสามารถเอาชนะทีมเรดดิง 2-1 และหลังจากนั้น ตอร์เรสก็สามารถยิงประตูช่วยให้ทีมเอาชนะอินเตอร์มิลานในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 สุดท้าย
วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2551 เฟร์นันโด ตอร์เรส สามารถทำประตูที่ 30 ของตัวเองให้กับลิเวอร์พูลได้ในฤดูกาลแรกที่ย้ายมา โดยประตูดังกล่าวเกิดขึ้นในเกมที่ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะทีมแบล็กเบิร์นโรเวอร์ส 3-1 ในการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ชิพของอังกฤษ และด้วยประตูนี้เอง ทำให้เฟร์นันโด ตอร์เรสสามารถทำสถิติ ยิงประตูติดต่อกัน 7 นัด ในสนามแอนฟีลด์
และในวันสุดท้ายของฤดูกาล ณ สนามของทีมสเปอร์สในวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ตอร์เรสได้ทำประตูสุดท้ายของฤดูกาลนี้เป็นประตูที่ 33 ที่ทำให้เขาเป็นนักเตะคนแรกที่ทำประตูเกิน 30 ประตูในหนึ่งฤดูกาล โดยก่อนหน้านั้น มีเพียงร็อบบี ฟาวเลอร์ทำได้ 30 ประตู ในปี 2539-2540 โดยเฉพาะวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ณ สนามแอนฟีลด์ ลิเวอร์พูลเปิดบ้านรับการมาเยือนของทีมแมนเชสเตอร์ซิตี ทีมชนะไป 1-0 โดยตอร์เรสเป็นผู้ยิงประตูตัดสินชัยชนะ ทำให้เขาสามารถทำประตูติดต่อกันเป็นนัดที่ 8 ในถิ่นแอนฟีลด์ ส่งผลให้เขาเป็นนักเตะคนแรกของทีมที่ทำประตูในเกมลีกสูงต่อหน้าแฟนบอลในแอนฟีลด์ได้ 8 นัดติดต่อกัน โดยมีโรเจอร์ ฮันต์ ที่ทำได้อีกคนแต่ทำได้ในลีกดิวิชัน 2 เดิมในช่วงทศวรรษที่ 60 ฤดูกาล 1961-1962
33 ประตู จาก 46 นัดในทุกรายการ เฉพาะเกมลีกเขาทำไป 24 ประตู จาก 33 นัดที่ลงแข่ง และทั้ง 24 ประตูไม่มีลูกจากจุดโทษเลย ทำให้เฟร์นันโด ตอร์เรส ทำสถิติเป็นนักเตะต่างชาติที่ทำประตูสูงสุดเพียงปีแรกที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกคนใหม่ และทำให้เขามีสถิติยิงปรตูเฉลี่ยทุก ๆ 1.39 เกม ทำลายสถิติผู้เล่นที่ทำประตูเฉลี่ยสูงสุดให้ลิเวอร์พูลในฤดูกาลแรกของ จอห์น อัลดิดจ์ (1.55 เกม) ได้อย่างสิ้นเชิง และยังเอาชนะนักเตะอย่างเอียน รัช (1.63), โรเจอร์ ฮันต์ (1.65), ร็อบบี ฟาวเลอร์ (1.83), ไมเคิล โอเวน (1.91) และเคนนี ดัลกลิช (2) ได้อีกด้วย และทุกนัดที่เขาสามารถทำประตูได้ในเกมลีกทีมจะไม่แพ้อีกด้วย และ 25 ประตู ใน 33 ประตูที่เขาทำได้ในฤดูกาลนี้เกิดขึ้นในสนามแอนฟีลด์ และนัดสุดท้ายที่เขาเล่นให้ลิเวอร์พูลคือนัดที่ลิเวอร์พูลบุกอัดวูล์ฟแฮมป์ตันไป 3-0 เมื่อ 22 มกราคม 2554 ที่ผ่านมาและตอร์เรสก็เป็นคนทำ 2 ประตูและมันก็คือประตูและก็นัดสุดท้ายที่เขาลงเล่นในสีเสื้อลิเวอร์พูล